3 ปัจจัยที่ต้องจับตา: ผลประกอบการ Micron, หุ้น Didi, สวัสดิการว่างงาน

โดย Dhirendra Tripathi

Investing.com -- ตลาดหุ้นทำผลงานได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก โดยได้รับแรงหนุนจากหุ้นที่มีความอ่อนไหวทางเศรษฐกิจ และการเสนอขายหุ้นแก่ประชาชนทั่วไปจำนวนมากที่หลั่งไหลเข้ามากระตุ้นความกระตือรือร้นของนักลงทุน

ข้อมูลจ้างงานจาก สถาบัน ADP พบว่า มีการเพิ่มงาน 692,000 ตำแหน่งในเดือนมิถุนายน ซึ่งเป็นตัวเลขแนวโน้มที่ดี หลังจากนักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า สหรัฐจะสร้างงานเพิ่มได้ประมาณ 600,000 ตำแหน่งในเดือนมิถุนายน

หุ้นวัฏจักรซึ่งเคลื่อนไหวควบคู่กับเศรษฐกิจ ได้ปรับตัวสูงขึ้น นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังจากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นก่อนการประชุมของกลุ่มโอเปกในวันนี้ โดยข้อมูลน้ำมันคงคลังในสัปดาห์ที่แล้วแสดงให้เห็นว่า สต็อกน้ำมันดิบลดลงอย่างต่อเนื่อง

ดัชนี S&P 500 พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดครึ่งแรกของปีนี้และปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แม้จะมีความกลัวเรื่องเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในขณะที่เศรษฐกิจกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง และความกังวลว่าเฟดอาจจะถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ต่อไปนี้คือ สามปัจจัยที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดในวันนี้

1. ผลประกอบการของผู้ผลิตชิป

Micron Technology (NASDAQ:MU) จะรายงานผลประกอบการหลังปิดตลาดคืนนี้ นักวิเคราะห์ที่ติดตามโดย Investing.com คาดว่าบริษัทจะมีกำไรต่อหุ้นที่ 1.70 ดอลลาร์สำหรับไตรมาสที่ 3 จากรายได้ 7.2 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นก่อนหน้านี้หลังจาก BMO ปรับสถานะหุ้นเป็นเชิงบวก โดยคาดว่าอุปสงค์จะมีมากกว่าอุปทานไปอีกนานและจะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทผู้ผลิตชิปรายนี้

2. การซื้อขายวันแรกของหุ้น Didi

หุ้นของบริษัทบริการเรียกรถ Didi Global (NYSE:DIDI) เปิดตัวในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเมื่อวานนี้ที่ราคา 16.65 ดอลลาร์ ซึ่งสูงกว่าราคาจองที่ 14 ดอลลาร์เกือบ 19% ทำให้มูลค่าตลาดของบริษัทอยู่ที่ประมาณ 77 พันล้านดอลลาร์ ขณะที่คู่แข่งอย่าง Uber (NYSE:UBER) มีมูลค่าตลาด 95 พันล้านดอลลาร์ แต่ในช่วงท้ายของการซื้อขาย Didi ได้ปรับตัวลดลงและปิดการซื้อขายวันแรกด้วยราคาที่เพิ่มขึ้นเพียง 1%

3. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการจ้างงาน

การยื่นประกันการว่างงานสำหรับสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 26 มิถุนายน ลดลงเหลือ 390,000 รายจาก 411,000 รายในช่วงก่อนหน้านี้ โดยกรมแรงงานจะเปิดเผยตัวเลขเลข ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ในวันนี้ เวลา 8:30 น. ET (12:30 GMT) ขณะที่ ผู้ขอรับสวัสดิการต่อเนื่อง ลดลงเหลือ 3.382 ล้านจาก 3.39 ล้านราย