简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:'3 กูรู' วิพากษ์ SET INDEX ปี 2564 'ฟันโฟลด์ & วัคซีนโควิด-19' ปลดล็อกหุ้นไทยทะยาน 1,650 จุดได้ ! ถือเป็นตลาด 'ขาขึ้น' รอบใหม่ 2 ปัจจัยบวกเข้ามาเปลี่ยนทิศทางดัชนีขยับอีกครั้ง... แนะธีมลงทุนเลือกรายตัวเน้นกลุ่มคอมมูนิตี้ ขานรับเศรษฐกิจฟื้นตัว
โบรกฯ ฟันธงหุ้นไทยปี 2564 ...สดใสขึ้น !
'ทอม-ไพบูลย์ นลินทรางกูร' ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) เปิดเผยว่าสำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2564 คาดว่ามีโอกาสกลับมายืนเหนือระดับก่อนเกิดวิกฤติโควิด-19 ที่บริเวณ 1,580 จุดได้ เนื่องจากได้รับแรงหนุนสำคัญจากภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและกระแสฟันด์โฟลว์ต่างชาติที่คาดว่าจะไหลกลับเข้ามา
ภายหลังจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มมองหาการลงทุนที่ยังมีอัพไซด์และเชื่อว่าประเทศไทยน่าจะได้รับประโยชน์เต็มๆจากระบบเศรษฐกิจที่อิงวัฏจักรเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในช่วงขาขึ้นและฐานที่ต่ำในปีนี้ ประกอบกับคาดว่าอัตรากำไรต่อหุ้น (EPS) ปีหน้าจะเติบโตกว่า 40% เพราะหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในตลาดที่ฟื้นตัวได้เร็วกว่าเศรษฐกิจ
'คมศร ประกอบผล' หัวหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ทิสโก้ บอกว่า แม้ปัจจุบันตลาดหุ้นทั่วโลกจะซื้อขายในระดับราคาที่ค่อนข้างแพงมากเมื่อเทียบกับในอดีต แต่ศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) ยังคงมองว่าในปี 2564 ตลาดหุ้นทั่วโลกจะปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง จาก '5 ปัจจัยบวก' ประกอบด้วย 1.การฟื้นตัวของตัวเลขเศรษฐกิจ โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า ในปี 2564 ตัวเลข GDP โลกจะขยายตัวที่ 5.2% ฟื้นตัวขึ้นจากที่หดตัวถึง -4.4% ในปีนี้ โดยได้รับแรงหนุนจากการค้นพบวัคซีนโควิด-19
2.การเลือกตั้งสหรัฐฯที่มีความชัดเจน ซึ่งเป็นผลจากการที่ 'โจ ไบเดน' สามารถคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา 3.การค้นพบวัคซีนโควิด-19 และน่าจะเริ่มแจกจ่ายได้ในปี 2564 พร้อมสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในหลายประเทศได้ตั้งแต่ช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มกลับสู่ภาวะปกติได้ในช่วงครึ่งหลังของปี 2564 เป็นต้นไป
4.นโยบายการเงินยังคงอยู่ในระดับที่ผ่อนคลายเมื่อเทียบกับในอดีต โดยธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ได้ปรับเป้าหมายนโยบายการเงินไปใช้อัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย ซึ่งจะทำให้ Fed คงนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายได้นานกว่าในอดีต แตกต่างกับในช่วงปี 2559-2560ที่ Fed กลับมาขึ้นดอกเบี้ยในทันทีที่เงินเฟ้อสูงเกินเป้าหมายที่ 2% และเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยพร้อมทั้งลดขนาดงบดุลอย่างต่อเนื่องจนส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับฐานลงแรงถึง 15% ในปี 2561
และ 5.กำไรของบริษัทจดทะเบียนฟื้นตัวขึ้นเร็ว ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจ โดยคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่รวบรวมโดย Bloomberg ชี้ว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในดัชนี S&P500 จะฟื้นตัวขึ้น 22% ในปี 2564 และขยายตัวต่อเนื่องอีก 15% ในปี 2565 ขณะที่ตลาดหุ้นไทย คาดว่ากำไรจะขยายตัว 46% และ 14% ตามลำดับ
ส่วนกลุ่มหุ้นที่น่าจะปรับตัวขึ้นแรงในปีหน้าศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์การลงทุนทิสโก้ ยังคงมองว่า 'หุ้นวัฎจักร' เช่น กลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม , สินค้าฟุ่มเฟือย และสินค้าวัสดุ ยังคงเป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จาก 5 ปัจจัยบวกขั้นต้น อีกทั้งราคาหุ้นกลุ่มนี้ยังถูกกว่าเมื่อเทียบกับตลาดโดยรวมอีกด้วย
อย่างไรก็ดี นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายเป็นเวลานาน ประกอบกับนโยบายการคลังขนาดใหญ่เพื่อบรรเทาผลกระทบจากโควิด-19 รวมถึงสวัสดิการจากภาครัฐเพิ่มขึ้นแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ อาจทำให้อัตราเงินเฟ้อกลับมาเพิ่มขึ้นแรงเหมือนเช่นในช่วงภาวะเงินเฟ้ออย่างรุนแรง (Great Inflation) ในปี 2508-2525 จึงแนะนำให้นักลงทุนกระจายการลงทุนไปยังทองคำ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อในระยะยาว โดยมองระดับราคาที่เหมาะสมในการเข้าทยอยสะสมที่ ระดับต่ำกว่า 1,900 ดอลลาร์สหรัฐต่อออนซ์
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
FOREX.com
ATFX
Octa
Pepperstone
XM
OANDA
FOREX.com
ATFX
Octa
Pepperstone
XM
OANDA
FOREX.com
ATFX
Octa
Pepperstone
XM
OANDA
FOREX.com
ATFX
Octa
Pepperstone
XM
OANDA