简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:ควรเทรดหุ้นหรือ Forex ดี? เทรดหุ้นดีกว่าเทรด Forex ไหม? หุ้นกับ Forex อันไหนน่าเล่นกว่ากัน? เทรดหุ้นกับ Forex อันไหนเล่นง่ายกว่ากัน? เทรดหุ้นกับเทรด Forex อันไหนเสี่ยงมากกว่ากัน?... คำถามเหล่านี้เป็นคำถามที่พบบ่อยมากสำหรับเทรดเดอร์มือใหม่
อันดับความแตกต่างระหว่างหุ้นกับ Forex(ฟอเร็กซ์)
ตารางด้านล่างนี้คือการสรุปความแตกต่างที่สำคัญบางประการระหว่างตลาดหุ้น และ ตลาด Forex(ฟอเร็กซ์)
ตลาด Forex | ตลาดหุ้น |
ปริมาณการซื้อขายมาก - ประมาณ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน | ปริมาณการซื้อขายน้อย - ประมาณ 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน |
สภาพคล่องสูง | สภาพคล่องต่ำ |
ตลาด 24 ชั่วโมง | ตลาด 4-8 ชั่วโมง |
ค่าคอมมิชชั่นต่ำหรือไม่มีเลย | มีค่าคอมมิชชั่น |
การโฟกัสแคบ | การโฟกัสกว้าง |
ลองมาดูในเชิงลึกกันให้มากกว่านี้ถึงความแตกต่างระหว่างตลาด Forex และหุ้นอย่างแท้จริงว่าเป็นอย่างไร
1)ปริมาณการซื้อขาย
ความแตกต่างระหว่างตลาดหุ้นและ Forex ที่ใหญ่มากอย่างหนึ่งคือ ขนาดของตลาด Forex ที่แท้จริง Forex มีปริมาณการซื้อขายประมาณ 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน ด้วยคู่สกุลเงินการซื้อขายที่ได้รับความสนใจอย่างมากซึ่งได้แก่ EUR/USD, USD/JPY, GBP/USD และ AUD/USD ตลาด Forex มีปริมาณการซื้อขายปริมาณเงินดอลลาร์ที่มากกว่าปริมาณการซื้อขายหุ้นของตลาดโลกที่มีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 200 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯต่อวัน
การมีปริมาณการซื้อขายที่มากมายขนาดนี้สามารถทำให้เทรดเดอร์ได้ผลประโยชน์มากขึ้น ปริมาณการซื้อขายที่สูงหมายถึง เทรดเดอร์สามารถที่จะดำเนินการคำสั่งซื้อที่ง่ายกว่าและสามารถปิดการขายได้ด้วยราคาที่เทรดเดอร์ต้องการ ในขณะที่ตลาดทั้งหมดมีแนวโน้มของช่องว่างต่างๆมากกว่า ในการมีสภาพคล่องที่มากกว่าในจุดกำหนดราคาแต่ละจุดก็จะทำให้เทรดเดอร์สามารถเข้าและออกจากตลาดได้ดีกว่า
2)สภาพคล่อง
ตลาดที่มีการซื้อขายในปริมาณการซื้อขายที่สูงนั้น โดยทั่วไปแล้วจะมีสภาพคล่องที่สูงเช่นกัน สภาพคล่องจึงนำไปสู่สเปรดที่แน่นขึ้นและลดต้นทุนการทำธุรกรรมอีกด้วย คู่สกุลเงินของ Forex โดยทั่วไปมักมีเปรดที่ต่ำรวมทั้งต้นทุนการทำธุรกรรมที่ต่ำเมื่อเปรียบเทียบกับหุ้น และนี่คือหนึ่งในข้อได้เปรียบที่สำคัญของการเทรดระหว่างตลาด Forex และการเทรดในตลาดหุ้น
3)เวลาซื้อขาย
ตลาดForex เป็นตลาดประเภท OTC (Over the Counter) หมายความว่ามันไม่ได้ทำธุรกรรมการแลกเปลี่ยนแบบดั้งเดิม ตลาดForex จะเปิดให้ซื้อขายได้ตลอด24ชั่วโมง การเทรด Forex ถูกอำนวยความสะดวกมากขึ้นผ่านตลาดระหว่างธนาคาร ซึ่งหมายความว่าการเทรดนั้นสามารถทำได้ทั่วทุกมุมโลกในระหว่างเวลาทำการของแต่ละประเทศและช่วงเวลาของการเทรด ดังนั้น เทรดเดอร์ Forex จึงสามารถเข้าถึงการเทรดได้อย่างสมจริง 24 ชั่วโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์ ในทางกลับกัน ดัชนีหุ้นสำคัญเทรดในเวลาที่ต่างกันและได้รับผลกระทบจากตัวแปรที่แตกต่างกัน
4)ค่าคอมมิชชั่น
โบรกเกอร์ Forex โดยส่วนมากมักไม่มีค่าคอมมิชชั่น แต่เป็นการทำกำไรจากสเปรดแทน ซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างราคาซื้อและราคาขาย เมื่อการซื้อขายหุ้นหรือสัญญาฟิวเจอร์ส หรือดัชนีหลักอย่าง S&P500 เทรดเดอร์ส่วนใหญ่มักจะต้องจ่ายค่าสเปรดและค่าคอมมิชชั่นให้กับโบรกเกอร์
ค่าสเปรดของ Forex นั้นค่อนข้างโปร่งใสเมื่อเปรียบเทียบกับราคาการซื้อขายสัญญาอื่นๆ ข้อแนะนำคือเมื่อคุณเลือกโบรกเกอร์โดยมีค่าสเปรดที่ถูก เท่ากับว่าคุณจะได้กำไรมากขึ้น การเลือกโบรกเกอร์ที่มีค่าสเปรดที่ถูกแนะนำให้ใช้แอป WikiFX เพราะบนแอป WikiFX มีตารางเปรียบเทียบค่าสเปรดของโบรกเกอร์แบบ Realtime หมายความว่าคุณจะรู็ว่าโบรกเกอร์ไหนค่าสเปรดชอบแพงช่วงไหน และโบรกเกอร์ไหนมีค่าสเปรดที่ถูกตลอดทั้งวัน
5)การโฟกัสแคบ vs การโฟกัสกว้าง
มีคู่สกุลเงินอยู่ 8 คู่ที่เทรดเดอร์สามารถโฟกัสได้ ในขณะที่จักรวาลของหุ้นเป็นหลายพัน เทรดเดอร์จะมองหาการแยกและการลู่เข้าหาแนวโน้มระหว่างคู่สกุลเงินเพื่อจับคู่ของคู่ Forex เพื่อทำการเทรด สกุลเงิน 8 สกุลนั้นง่ายกว่าการจะต้องมาจับตาดูหุ้นเป็นพันหุ้นแน่นอน
6) เครื่องมือช่วยเทรดเดอร์ Forex มือใหม่
บางคนจะเข้ามาตลาด Forex ยังมีความงงอยู่ว่าจะเลือกโบรกเกอร์อย่างไรดี ลองดาวน์โหลดแอป WikiFX มาเลือกหรือดูการจัดอันดับโบรกเกอร์ที่น่าไว้วางใจก่อน คุณอาจจะต้องใช้เพราะคุณอาจจะเคยได้ยินว่าตลาด Forex นั้นชอบมีโบรกเกอร์โกงเงินตลอดเวลา อีกทั้งบนแอปสามารถเปรียบเทียบค่าสเปรดโบรกเกอร์ ดูข่าวที่มีผลต่อตลาด Forex บทวิเคราะห์ต่างๆ และยังมีเว็บบอร์ดที่ให้คุณสามารถพูดคุยกับเทรดเดอร์คนอื่นได้อีกด้วย
คุณควรเทรดหุ้นหรือ Forex ดี?
ไม่ว่าคุณจะเลือกเทรดกับ Forex หรือ หุ้นนั้นก็ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของคุณและสไตล์การเทรดที่คุณชื่นชอบ
ตารางด้านล่างนี้แสดงให้เห็นถึงรูปแบบของการเทรดที่แตกต่างกัน รวมทั้งข้อดีข้อเสียของแต่ละอย่างเมื่อเทรดกับ หุ้นและ Forex
ประเภทของเทรดเดอร์ | คำนิยาม | ข้อได้เปรียบ | ข้อเสียเปรียบ | หุ้น VS Forex |
ระยะสั้น(Scalping) | สไตล์การเทรดที่เทรดเดอร์มองหาการเทรดที่เปิดและปิดการขายภายใน ไม่กี่นาที โดยกำไรจากราคาที่เคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อย | เทรดเดอร์สามารถมุ่งความสนใจไปด้านความผันผวนมากขึ้นและมองตัวแปรพื้นฐานที่เคลื่อนย้ายตลาดน้อยกว่า | เนื่องจากการสามารถเทรดได้มากกว่า ผู้เริ่มต้นเทรดอาจจะเสียเงินได้มากกว่าหากยังไม่เข้าใจกลยุทธ์ให้ดี | เหมาะกับการเทรด Forex เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการดำเนินการเปิดตำแหน่งไม่แพง การเทรดอย่างอื่นอาจจะจำเป็นต้องมียอดเงินในบัญชีจำนวนมากเพื่อการเทรด แต่โบรกเกอร์ Forex ส่วนใหญ่ ต้องการเพียงเงินทุนที่เพียงพอสำหรับการรักษามาร์จิ้นไว้ท่านั้น |
ระยะปานกลาง | เป็นสไตล์การเทรดที่เทรดเดอร์มองการเทรดที่สามารถถือตำแหน่งไว้ได้เป็นเวลา 1วันหรือมากกว่านั้น โดยการซื้อขายมักเกิดขึ้นเนื่องจากเหตุผลทางเทคนิค | ความต้องการของต้นทุนน้อยกว่าเมื่อเปรียบเทียบกับสไตล์การเทรดรูปแบบอื่น เพราะการเทรดลักษณะนี้เน้นการมองหาความเคลื่อนไหวแบบใหญ่กว่า | การเทรดนั้นจะต้องพร้อมกับการวิเคราะห์ซึ่งทำให้ต้องใช้เวลามาก | เหมาะกับทั้งการเทรดแบบหุ้น และ Forex |
ระยะยาว | เป็นสไตล์การเทรดที่เทรดเดอร์มองการเทรดที่สามารถถือตำแหน่งไว้ได้เป็นเดือนหรือปี มักจะตัดสินใจบนปัจจัยของพื้นฐานระยะยาว | เทรดเดอร์ไม่ต้องเสียเวลาในการวิเคราะห์มากนัก | ต้องการเงินทุนจำนวนมากเพื่อครอบคลุมการเคลื่อนไหวที่ผันผวน | เหมาะกับการเทรดด้วยหุ้นมากกว่า เพราะตลาด Forex มีแนวโน้มการเปลี่ยนทิศทางมากกว่าหุ้น |
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ